วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558

รวมคำสุดฮิต ที่ใช้ "ผิด" บ่อยมาก


กลับมาอีกครั้งแล้วค่ะ  กับความรู้ภาษาอังกฤษ  แบบเข้าใจง่าย  ใช้ได้ทั้งมือใหม่และมือเก่า   วันนี้เป็นคิวของการใช้ภาษาอังกฤษที่ไม่ถูกต้อง  ซึ่งเราอาจจะคุ้นกันมานาน  แล้วจะใช้ให้ถูกยังไง  ลองอ่านบทความนี้ดูค่ะ  ยาวหน่อย แต่ความรู้เพียบ !!!!

1. Fitness : เข้าฟิตเนส
“วันนี้ว่างๆ ไปเข้าฟิตเนสกันไหม?” คนไทยมักเข้าใจผิดว่า “ฟิตเนส” คือสถานที่ออกกำลังกาย ถ้าเผลอไปถามฝรั่งว่า คุณไปฟิตเนสที่ไหน? รับรองได้ว่าต้องมีงง เพราะความจริงแล้วคำว่า “Fitness” ในความหมายที่ฝรั่งหรือชาวต่างชาติทั่วไปเข้าใจคือ แปลว่า “สมรรถภาพของร่างกาย” ไม่ใช่สถานที่ออกกำลังกายอย่างที่เราเข้าใจ และถ้าจะสื่อความหมายของสถานที่ต้องใช้คำว่า “Fitness center” หรือใช้คำว่า “gym” เช่น I’m going to the gym. จะดีกว่า
2. In trend : อินเทรน
ศัพท์ฮิตอีกหนึ่งคำที่มักได้ยินวัยรุ่นใช้บ่อยๆ นั่นก็คือ “อินเทรน” ตามรายการวิทยุโทรทัศน์ต่างๆ ก็มันจะใช้คำนี้กล่าวถึงวัยรุ่นในปัจจุบันว่า “ทันสมัย” เหลือเกินด้วยคำว่า “in trend” น่าจะมาจากประโยคที่ว่า “It is in trend.” มันทันสมัย แต่สำหรับฝรั่งคำว่า “ทันสมัย” จะไม่ใช้คำว่า “in trend” แต่จะใช้คำว่า “trendy” หรือ “fashionable” เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable.
3. No have : ไม่มี
ถ้าเราจะบอกว่า “ไม่มี” ในภาษาอังกฤษ คนไทยส่วนใหญ่มักจะพูดว่า “No have” ซึ่งแปลตรงตัวว่าไม่มี แต่ในภาษาอังกฤษถ้าจะบอกว่า “ไม่มี” จะใช้คำว่า “have no” หรือ “I don’t have” เช่น I don’t have any money. หรือ I have no money. ฉันไม่มีเงินเลย แต่สำหรับคำว่า “no have” ที่คนไทยมักใช้กันนั้น ในภาษาอังกฤษไม่มีคำนี้
4. Out of order : หมด
คำที่คนไทยมักจะเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ อีกหนึ่งคำที่จะสื่อความหมายว่า “สินค้าหมด หรือ หมดสต๊อก” นั่นก็คือ “Out of order” ซึ่งความจริงแล้วคำนี้แปลว่า “ชำรุด ใช้การไม่ได้” ส่วนมากจะพบแปะไว้หน้าห้องน้ำห้องที่ปิดประตู หรือเครื่องหยอดเหรียญต่างๆ ถ้าของหมดก็ให้แปะป้ายไว้ว่า “Sold out” หรือ “run out of ...” ก็ได้ หรือสำนวนที่ว่า “We're all out.” หมายถึง “สินค้าหมด” หรือ “To be out of (something)” ให้ความหมายว่า “หมดสต๊อก” เช่นกัน
5. Stop your mouth : หยุดพูด
ขอบอกเลยว่าคำนี้ไม่มีในภาษาอังกฤษ น่าจะเป็นคำว่า “Shut your mouth” มากกว่า หากต้องการให้เพื่อนที่ช่างเม้าท์พูดไม่หยุดของคุณ “หยุดพูด หรือ หุบปาก” จะใช้คำว่า “Shut up” แต่คำนี้จะเป็นคำหยาบในภาษาอังกฤษไม่แนะนำให้ใช้ ถ้าคุยกับเพื่อนให้ใช้ว่า Shut your trap หรือ Shut your neck แต่ถ้าจะให้สุภาพแบบเป็นทางการ ควรใช้คำว่า Please be quiet. หรือ Could you please be quiet?.
6. Over : โอเวอร์
ถ้าคุณมีเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบพูด ชอบทำอะไรเกินจริง ก็มักจะพูดว่า “She is over” หล่อนดูโอเว่อร์ หรือดูเว่อร์มาก ซึ่งประโยคนี้ไม่มีในภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย ฝรั่งจะใช้คำที่สื่อความหมายถึงคนที่ทำอะไรเยอะเกินจริงว่า “exaggerate” เช่น She always exaggerates about her skills. เขาพูดเว่อร์เกี่ยวกับทักษะและความสามารถของเขา
ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า หล่อนดูโอเว่อร์มาก จะใช้ว่า She is exaggerating. หรือจะบอกว่า “อย่าพูดเว่อร์” ต้องบอกว่า “Don’t exaggerate.” หรือถ้าเพื่อนเราเป็นผู้หญิงที่เยอะมาก แสดงทุกอย่างเกินจริงไปหมด เราจะใช้คำว่า “overreact” เช่น Don't overreact! แปลว่า อย่าเว่อร์ และอีกสองคำที่มีความหมายคล้ายกันคือ Don't overdo it! กับ Don't go overboard with this!
7. Pretty : พริตตี้สินค้า
ศัพท์คำนี้คงเป็นที่คุ้นหูหนุ่มๆ เป็นอย่างยิ่งเพราะได้ยินที่ไรใจสั่นทุกที หากจะหมายความถึงนางแบบตามงานอีเว้นท์ต่างๆ โดยเฉพาะงาน motor show ความจริงแล้วคำว่า “pretty” ในภาษาอังกฤษ เป็นได้ทั้งคำคุณศัพท์ (adjective) ที่แปลว่า น่ารัก หรือ สวยน่ามอง เช่น a pretty girl คือ เด็กผู้หญิงน่ารัก ส่วน She has a pretty face. เธอมีหน้าตาน่ารัก
แต่สรุปแล้ว “พริตตี้” ที่คนไทยเรียก ผู้หญิงสวยๆ ตามงานอีเว้นท์นั้น ฝรั่งจะเรียกว่า “model” ที่แปลว่า “นางแบบ” เพียงแต่ให้ระบุไปว่าเป็นงานไหน เช่น model(s) at exhibitions คือ นางแบบที่งานนิทรรศการ เป็นต้น
8. American share : ต่างคนต่างจ่าย
คำว่า “American share” ที่คนไทยชอบพูด เพื่อสื่อว่า "ต่างคนต่างจ่ายนะ (ในสถานการณ์ที่เราอยู่ในร้านอาหารหรือต้องจ่ายตังอะไรซักอย่าง)" ที่จะทำให้คนอเมริกันต้องงง!!! แน่นอน เพราะจริงๆ ถ้าจะหมายถึง “ต่างคนต่างจ่าย” เป็นสำนวนภาษาอังกฤษเก๋ๆ ก็ต้องใช้คำว่า Let’s go Dutch. หรือ Go Dutch (with somebody). หรือจะใช้ประโยคง่ายๆ เลยว่า You pay for yourself. (จ่ายในส่วนของตัวเองนะ), Let's just pay separately. (แยกกันจ่ายเถอะนะ),หรือ Everyone pays for their own meal. (ทุกคนจ่ายของตัวเองนะ)
9. Jam : ขอแจมด้วยคน
ในกรณีนี้ “แจม” จะหมายถึง “ขอแจมด้วยคน” ด้วยคน เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ย? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า “jam” ในกรณีแบบนี้ ที่ถูกต้องควรจะใช้ว่า “join” หรือ “come with us” เช่น Do you want to join us? หรือ Do you want to come with us? (เธอจะไปกับพวกเราไหม?) จะดีกว่า
“Jam" นิยมใช้กันมากเหมือนกัน คนดนตรีใช้คำนี้ได้ไม่ผิดกติกา เช่น Jam Session หมายถึงการร่วมเล่นดนตรีร่วมกัน เช่น Vai, Johnson, Gilbert really enjoyed this G3 jam session and they wished to see this again next year.
10. Back : คนสนับสนุน
“back” คำนี้มีความหมายว่า “หลัง” (อวัยวะ) แต่คนไทยส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า “แบ็ค” เป็นคำกล่าวถึง คนที่คอยสนับสนุนคนๆ หนึ่งเป็นอย่างดี นั่นก็คือ He has a good back. แต่ฝรั่งคงจะงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับหลัง และหลังของเขาดีอย่างไร? ดังนั้น ถ้าใช้ให้ถูกต้องใช้คำว่า “a backup” ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้ เช่น He has a good backup. หรือ "support" ก็เป็นอีกหนึ่งคำที่แปลว่า สนับสนุน นั่นเอง
11. Check bill : เช็คบิล
อีกหนึ่งคำยอดฮิตที่ได้ยินบ่อยๆ "น้องๆ เช็คบิลหน่อย" แต่ความจริงแล้วถ้าเราจะใช้ประโยคว่า “คิดเงินด้วยคะ” คนอังกฤษจะใช้คำว่า “bill (บิล)” เช่น Bill, please. (ขอบิลด้วยครับ) ส่วนคนอเมริกันจะพูดว่า "Check, please." (ขอเช็คด้วยครับ) ซึ่งแปลว่า คิดเงินด้วยครับ/คะ แต่คนไทยมักใช้รวมกันว่า “check bill” ซึ่งผิดควรเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งจะดีกว่า เช่น
Can we get the check/bill, please? (เก็บตังหน่อยครับ)
Could we have the check/bill, please? (เก็บเงินหน่อยได้มั้ยครับผม) อันนี้เป็นแบบสุภาพ
12. Hi-so : ไฮโซ
คำนี้ ทุกคนเข้าใจว่ามาจาก High Society ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เช่น "คู่นี้เขาเป็นแฟนกันได้อย่างไร? ญาญ่าแต่งตัวไฮโซ ส่วนณเดชแต่งตัวโลโซมาก" เป็นอันว่าคนไทยเข้าใจ แต่เวลาไปสื่อสารกับฝรั่งต่างภาษา ไม่เข้าใจแน่นอน ควรใช้ว่า "Classy" หรือ "Hi-Class" สำหรับการจะบอกว่าใคร ดูดีมีระดับจะดีกว่า
13.Mansion : ห้องพัก
เวลาฝรั่งถามคนไทยว่าพักอยู่ที่ไหน คนไทยบางคนชอบบอกว่าอยู่ “แมนชั่น" หรือ "mansion” แปลว่า “คฤหาสน์" ซึ่งก็อาจจะทำให้ฝรั่งบางคนตาค้าง ในความรวยของเรา ดังนั้น Mansion เป็นศัพท์ที่คนไทยเอามาใช้แบบผิดๆ ถึงแม้ว่า หน้าหอพักจะเขียนว่า ‘แมนชั่น’ ก็ตาม คราวหน้าหากมีฝรั่งมาถามอีกก็ให้บอกว่า เราพักอาศัยอยู่ที่ "Flat" หรือ "Apartment" จะดีกว่า
14. Never mind : ไม่เป็นไร
เรามักจะได้ยินคนไทยส่วนใหญ่เวลาจะพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” สำหรับภาษาไทยนั้นคำว่า ไม่เป็นไรสามารถใช้ได้ทั้งการมีคนมา “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” เรามักจะตอบว่าไม่เป็นไร แต่ไม่ใช้คำว่า “never mind” เพราะที่ถูกต้องแล้ว “never mind” จะแปลว่า “ช่างมันเถอะ หรือ ลืมมันซะ” ตัวอย่างเช่น เวลาที่เราอธิบายอะไรสักอย่างให้เพื่อนฟัง แต่เพื่อนก็ดันไม่เข้าใจสักที เราก็เลยบอกเพื่อนไปว่า “never mind” ช่างมันเถอะ เพราะฉันขี้เกียจอธิบายแล้ว
ถ้าเราจะพูดว่า “ไม่เป็นไร” เวลาที่มีคนมาขอบคุณเราต้องพูดว่า You’re welcome (ด้วยความยินดี), My pleasure (ยินดี), Don’t mention it (ไม่เป็นไร) หรือวลีที่ว่า No biggie และ No big deal แปลว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้ามีคนมาขอโทษแล้วจะบอกว่า “ไม่เป็นไร” เช่น No problem (ไม่มีปัญหา), Don’t worry about it (อย่ากังวล, อย่าคิดมาก) เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก : ASTVผู้จัดการออนไลน์

การใช้ This / These / That / Those


สวัสดีค่าาาา  วันนี้ศูนย์ภาษาลีดก็ได้นำเอาความรู้ภาษาอังกฤษเบื้องต้นมาฝากกัน   สำหรับคนที่ยังแยกคำไม่ออกนะคะ   ครั้งนี้เอามาฝาก  4 ตัวคือ  This / These / That / Those  ไปดูกันเลยค่ะ

This = นี่ ( เอกพจน์) -- ใช้สำหรับวัตถุที่อยู่ไกล้คู่สนทนา 
EX. This car is very expensive. ( รถคันนี้แพงมาก)
These = เหล่านี้ (พหูพจน์) -- ใช้สำหรับหลายคนหรือสิ่งของหลายสิ่งที่อยู่ไกล้คู่สนทนา
EX. These students are from America.(นักเรียนเหล่านี้มาจากอเมริกา)
That = นั่น (เอกพจน์) -- ใช้สำหรับวัตถุหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลจากคู่สนทนา
EX. Who is that girl ? (เด็กผู้หญิงคนนั้นคือใคร?)
Those = เหล่านั้น (พหูพจน์) -- ใช้สำหรับวัตถุหลายสิ่ง ที่อยู่ไกลจากคู่สนทนา
EX. Those dogs are playing in the park. สุนัขเหล่านั้นกำลังเล่นในสวน
หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนนะคะ   ครั้งหน้าจะมีอะไรนำมาฝา่กอีก  ต้องติดตามนะคะ  :)

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เคล็ดลับ 9 ข้อ ในการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง


แน่นอนว่าสมัยนี้ ใคร ๆ ก็ต่างให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษกันมากขึ้น  ด้วยความที่จะเข้าอาเซียนเนี่ยแหละ  ในเรื่องการความเสรีทางธุรกิจก็มีประโยชน์กับทุกคนที่ทำธุรกิจ  แต่สิ่งที่ตามมาคือความอ่อนภาษาอังกฤษของเรา  ซึ่งถ้าเปรีบยเทียบกับเพื่อนบ้านเราแล้ว  ยังอยู่ไกลพอสมควร  แต่นั่น !  ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อ  เรามีวิธีเริ่มต้นสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ  เพื่อเป็นแนวทางในการต่อยอดในการเรียนรู้  อย่างคำที่ว่า " ไม่มีใครแก่เกินเรียน "  เกิ่นมาขนาดนี้แล้ว  ไปลองอ่านดูค่ะ   แล้วอย่าลืมทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันด้วยนะคะ  :)
1. ฟังภาษาอังกฤษทุกวัน
การฝึกภาษาควรเริ่มจากการฟังค่ะ ช่วงเริ่มฝึกใหม่ๆ อาจจะยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็ลองหาคลิปสอนภาษาที่พูดช้าๆ มาฟังก่อนค่ะ เฉพาะใน Youtube ก็มีสอนอยู่มากมายนับไม่ถ้วน เช่นช่องของ Learn English withEnglishClass101.com, Anglo-Link, Speak English With Misterduncan, Rachel's English, JenniferESL ฯลฯ หรือถ้าใครใช้งานอุปกรณ์จากค่าย apple การโหลด Podcast มาติดเครื่องไว้ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะมีเนื้อหาที่น่าสนใจให้เลือกฟังเพียบ หากมีเวลาน้อยจะฟังระหว่างนั่งรถ ออกกำลังกาย หรือทำความสะอาดบ้านก็ยังได้
2. ตั้งค่าอุปกรณ์ต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษ
ไม่ว่าจะคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่นๆ ควรตั้งค่าเมนูเป็นภาษาอังกฤษให้หมดเลยค่ะ รวมถึง Facebook, Twitter และโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่ใช้งานเป็นประจำด้วยนะคะ จะได้รู้สึกคุ้นชินกับภาษาอังกฤษมากขึ้น
3. รับข่าวสารเป็นภาษาอังกฤษ
หากใครรู้สึกว่าทักษะพัฒนาขึ้นแล้ว อยากขยับเลเวลในการฝึกภาษา ก็ลองติดตามข่าวเป็นภาษาอังกฤษดูค่ะ นอกจากจะได้ฝึกภาษาแล้ว ยังได้อัพเดทเหตุบ้านการเมืองอีกด้วย แหล่งข่าวต่างประเทศยอดนิยมก็ได้แก่ BBC, CNN และ Google News หรือถ้าอยากติดตามข่าวของประเทศไทย ก็มีให้ติดตามกันหลายเว็บ เช่น Bangkokpost และ The Nation
4. ดูหนัง ฟังเพลงภาษาอังกฤษ
นอกจากจะได้ความบันเทิงแล้ว คนที่ดูหนัง ฟังเพลงภาษาอังกฤษเป็นประจำยังยืนยันว่าวิธีนี้ช่วยพัฒนาทักษะได้จริงๆ ค่ะ แต่ต้องทำต่อเนื่องสักระยะหนึ่งนะคะ ไม่ใช่ดูหนัง 4-5 เรื่อง ฟังเพลง 6-7 เพลง แล้วจะเก่งขึ้นได้ทันตาเห็น
5. เลือกอ่านตามความสนใจ
การเลือกอ่านบทความภาษาอังกฤษหัวข้อที่ตรงกับความสนใจ เช่น เรื่องท่องเที่ยว อาหาร ดนตรี ศิลปะ จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้คุณอยู่กับการฝึกภาษาอังกฤษได้ยาวนานยิ่งขึ้น เดี๋ยวนี้มีบทความตามเว็บไซต์ นิตยสารออนไลน์ให้เลือกอ่านฟรีมากมายค่ะ หรือถ้าอยากไฮเทคขึ้นมาอีกนิด Kindle ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะนอกจากจะมีคลังหนังสือให้เลือกมหาศาลแล้ว ยังช่วยถนอมสายตาอีกด้วย >คลังหนังสือฟรีสำหรับ Kindle<
6. เขียนอย่างสม่ำเสมอ
ใช้เวลาสัก 10 นาทีต่อวัน เขียนสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองในวันนี้เป็นภาษาอังกฤษสั้นๆ สัก 3-4 บรรทัด หรือเขียนอะไรก็ได้ที่เรากำลังสนใจอยู่ในขณะนั้น ไม่ต้องยาวมากแต่เน้นความสม่ำเสมอ ถ้ามีเพื่อนที่เก่งภาษาช่วยตรวจแก้ไขให้ด้วยก็จะดีมาก สำหรับคนที่ไม่รู้จะเขียนอะไร เขียนสิ่งที่ฟังจากภาษาอังกฤษก็ได้ค่ะ จะได้พัฒนาทั้งทักษะการฟังและการเขียนควบคู่กันไปด้วย
7. เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ทุกวัน
ตามเว็บไซต์ดิกชั่นนารีออนไลน์ส่วนใหญ่ เช่น Dictionary.com และ Oxford Dictionaries จะมีการหยิบคำศัพท์น่าสนใจขึ้นมาเป็น Word of the Day ให้ผู้ใช้งานได้รู้จักคำศัพท์ใหม่ๆ เพิ่มเติม ลองเข้าไปดูและจำไว้ใช้งานดูสิคะ
8. ฝึกพูดภาษาอังกฤษ
จับคู่กับเพื่อนที่กำลังฝึกภาษาอังกฤษอยู่เหมือนกัน แล้วคุยภาษาอังกฤษกันสัก 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือจะใช้บริการเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นคอมมูนิตี้สำหรับคนฝึกภาษา เช่น italki หรือ verbling ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับการฝึกสนทนาเพื่อใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน
9. วางแผนการฝึกภาษาอังกฤษ
ทั้งแปดข้อที่แนะนำไปในข้างต้นเป็นเทคนิคในการฝึกฝนทักษะด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฟัง พูด อ่าน เขียน แต่ข้อสุดท้ายนี้จะเป็นตัวช่วยให้กระบวนการฝึกของทุกคนประสบความสำเร็จค่ะ ก่อนอื่นต้องถามตัวเองก่อนว่าอยากพัฒนาทักษะด้านไหนเป็นพิเศษ และฝึกภาษาอังกฤษไปเพื่ออะไร ถ้าฝึกเพื่อสอบ TOEIC / TOEFL / IELTS ก็ต้องเน้นความเป๊ะของไวยกรณ์ควบคู่ไปด้วย แต่ถ้าอยากสื่อสารได้คล่องปาก การฝึกก็คงต้องเน้นใช้งานจริงบ่อยๆ คุยกับเจ้าของภาษาบ่อยๆ
Cr.HotcoursesThailand

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

นิสัยต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษ

วันนี้เรานำเอา  13  นิสัยในภาษาอังกฤษมาฝากกันนะคะ   มีทั้งด้วนบวกและลบ  นำไปใช้กันให้ถูกนะคะ  ไม่งั้นเกิดอะไรขึ้นตามมาไม่รู้ด้วยน้าาาาา  โบ๋เบ๋ ><  คิคิ

** ที่นำมาฝากกันเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะ :)

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ตารางคอร์สเปิดใหม่เดือน สิงหาคม 2558 ของศูนย์ภาษาลีดมาแล้ว    มาดูกันเล้ยย !!

ประโยคชวนคุยกับชาวต่างชาติ



1.What languages can you speak ? 
คุณสามารถพูดภาษาอะไรได้บ้าง
2.Where do you want to go in Thailand ? 
คุณอยากไปเที่ยวที่ไหนในประเทศไทย
3. Have you ever been to a temple ? 
คุณเคยไปวัดไหม
4. Why do you like Thailand ? 
ทำไมคุณถึงชอบประเทศไทย
5. How long will you stay in ............? 
คุณจะอยู่.............นานเท่าไร
6. Can you eat hot and spicy food?
คุณสามารถทานอาหารเผ็ดร้อนได้ไหม
7. What words can you speak in Thai ? 
คุณสามารถพูดคำว่าอะไรได้บ้างในภาษาไทย
8. Do you want to learn Thai ?
คุณต้องการเรียนภาษาไทยไหม
9. Do you know the important places in .......................?
 คุณรู้จักสถานที่สำคัญใน...................ไหม
10. Do you have Thai friends in Thailand?
คุณมีเพื่อนเป็นคนไทยในประเทศไทยไหม
11. What flavors do you like to eat? 
คุณชอบทานอาหารรสใด
12. Do you like my province? 
คุณชอบจังหวัดของเราไหม
13. Do you like to take photographs? 
คุณชอบถ่ายรูปไหม
How many times have you been to Thailand? 
คุณมาประเทศไทยกี่ครั้งแล้ว
14. Where do you stay in Thailand? 
คุณพักอยู่ที่ไหนในประเทศไทย
15. Where did you go in Thailand ? 
คุณไปที่ไหนบ้างในประเทศไทย
16. Have you ever been to other countries?
คุณเคยไปเที่ยวประเทศอื่นไหม
17. Why do you like Thai people?
ทำไมคุณถึงชอบคนไทย

18. What place do you like the most in your country?
สถานที่ใดที่คุณชอบที่สุดในประเทศของคุณ
19. Do you have any plan for this trip?
คุณมีแพลนจะทำอะไรบ้างในทริปนี้
20. Have you eaten at that restaurant? 
คุณเคยทานอาหารร้านนั้นไหม

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บทสัมภาษณ์จากนักเรียนชั้น IELTS

วันนี้เราได้มีโอกาสสัมภาษณ์อาจารย์อ๊อฟจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบล และคุณนันท์ซึ่งเรียนคอร์ส IELTS กับเรา
(ลีด) ทราบ Course IELTS ของเราจากที่ไหนครับ
(อ. อ๊อฟ) ทางอินเตอร์เน็ตครับ มีเพื่อน tag มาเลยเข้ามาดูข้อมูล และสอบถามข้อมูลจากเพื่อนที่tagมา เพื่อนที่เคยเรียน เป็นนักศึกษามาเรียน course TOEIC เค้าเล่าให้ฟัง เลยลองมาคุยดูครับ
(ลีด) อาจารย์อ๊อฟ ประทับใจในการสอนของอาจารย์หน่อยตรงไหนครับ
(อ. อ๊อฟ) อ.หน่อยเป็นกันเองมากเลยครับกับนักเรียน บางทีมีคนมาเรียนภาษาอังกฤษจะมีกำแพงทางภาษา เพราะว่าระดับภาษาของแต่ละคนไม่เท่ากัน ก็จะไม่กล้าพูดกล้าแสดงออกเพราะว่าเราไม่มั่นใจ แต่ อ.หน่อยละลายความกังวลของนักเรียนตรงนั้นออก ใครที่อยู่ล่างสุด อ.หน่อยก็จะดึงขึ้นมาให้เท่ากันทั้งหมด ซึ่งเป็นเทคนิคที่น่าสนใจ
(นันท์) อ.หน่อยมีเคล็ดลับในการเขียนมาสอน ซึ่งเราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลายๆกรณีและในกรณีของ Grammar อ.หน่อยเป๊ะ! มาก ค่ะ อ.หน่อยจะใช้คำง่ายๆให้นักเรียนเข้าใจได้ง่ายเรียนสบายไม่เกรง กล้าที่จะพูดถึงแม้มันจะผิด เราก็กล้าที่จะพูดค่ะ

(ลีด) ความสนิทสนมกับเพื่อนที่ห้องเรียนเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ครับ ผมเห็นแล้วดูเหมือนเป็นพี่น้องกันเลยครับผมประทับใจมาก
(อ. อ๊อฟ) ตอนเริ่มเรียนเลยครับ ด้วยแต่ละคนมีการละลายพฤติกรรมกันง่าย พี่เปิ้ล น้องนันท์ เค้าก็ friendly กันอยู่แล้ว คนแบบนี่มาเจอกันก็เลยสนิทกันง่าย คือ ชะตากรรมเดียวกัน 55 เราเลยรู้สึกเหมือนพวกเดียวกันครับ ว่าจะต้องโดนอะไรกดดันไปด้วยกัน พวกเราจะส่งงานหรือข้อมูลใหม่ๆให้กันละกันตลอดทาง email ครับ
(ลีด) ช่วยแนะนำศูนย์ และข้อบกพร่องของเราหน่อยครับ
อ๊อฟ ผมขอชมก่อนเลยนะครับ การโปรโมทดีมากครับถูกทาง สม่ำเสมอ ผมเล่นอินเตอร์เน็ตประจำ ผมจะเห็นการอัพเดทตลอดเลยครับ สถาบันสอนภาษาเยอะ แต่ละคนดูอินเตอร์เน็ตอย่างเดียวคงไม่รู้ อยากให้เข้ามาดูและเห็นบรรยากาศที่เราได้มาเรียน ผมก็เคยชวนเพื่อนมาเรียนเพื่อนก็คงคิดว่าคงจะเป็นเหมือนๆที่เค้าเคยเรียน ซีเรียส และก็ไม่มีความเป็นกันเองเหมือนที่นี่ ก็เลยอยากให้เค้ามาเห็นตรงนี้ด้วยจะโฆษณาในกลุ่มเรียน เพราะว่าคนในอุบลส่วนมาก ด้อยภาษา ส่วนมากจะกลัว ไม่กล้ามาเรียน กลัวเวลาที่มาเรียนแล้วมีการกดดัน พวกผมประทับใจมากครับกับความเป็นกันเองของที่นี่ คือพนักงาน และเพื่อนๆ จะเป็นจุดขายของที่นี่ครับผมว่าที่อื่นทำไม่ได้ครับ รู้สึกเหมือนเป็นครบครัวเป็นกันเอง คือ..เราพยายามมาหาทีเรียนหลายที่ แต่ว่า เราเห็นที่นี้โปรโมทเยอะ ก็เลยอยากลองมาดูก่อน ก่อนหน้านี้ที่ผมจะเข้ามาเรียน ผมได้ดู วีดีโอ จากเฟสบุ๊ค แฟนเฝจ ผมมีความรู้สึกว่าบรรยากาศสนุกสนานเป็นกันเองไม่น่าจะกดดันถ้าผมมาเรียน ผมเลยตัดสินใจมาเรียนที่นี่ครับ ผลที่ได้คือประทับใจครับ
(ลีด) ตอนนี้น้องนันท์และ อาจารย์มั่นใจในการเตรียมตัวสอบมากน้อยแค่ไหน ครับ
(นันท์) จากครั้งแรกที่ไม่เคยติวอะไรเลยค่ะ หนูเลยลองไปติดที่ สวนสุนันท์ทา ครั้งแรกหนูสอบได้แค่ 3 ครับแล้วก็ขึ้นมาเป็น 4 คะ คือ เทคนิคที่เรียนมาได้รับไม่เยอะ หนูเรียนแค่ 3 สัปดาห์ คือแบบเค้าอัดข้อมูลมากเกินไปโดยไม่ถามความเข้าใจของนักเรียน แต่มาที่นี้สามารถกลับไปอ่านแล้วเข้าใจทุดเรื่องรู้จุกว่าจะต้องอ่านตรงไหนก่อนทำความเข้าใจกับจุดไหนก่อนเพื่อที่จะนำไปเชื่อมประโยคอะไรอย่างไร รู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้น เวลาอ่านเราสามารถจับจุดได้ อ.หน่อยจะทบทวนบทเรียนให้เสมอ เวลา อ.หน่อยสอนจะผ่านทางทีวี (สื่อการสอนในห้อง)ทำให้รู้สึกสะดวกในการเข้าใจมากขึ้นและตามบทเรียนได้ทัน ไม่เหมือน อ.ท่านอื่นที่ไม่ได้สอนผ่านทีวี คือเราตามไม่ทัน

(อ.อ๊อฟ) แรกๆผมไม่รู้อะไรเลยครับ รู้แค่ว่าผมต้องสอบ IELTS อย่างเดียวผมไม่เคยทดสอบมาก่อนเลย ก็มีบ้างที่เปิดอ่านทางอินเตอร์เน็ตว่า IELTS คืออะไร ส่วนตัวผมจะไม่ค่อยได้เรียนภาษา แต่ก็เป็นคนที่ชอบเรียนภาษา เมื่อก่อนก็เคยเรียนตามมิชชั่น เพื่อแค่อยากพูดเป็นแค่นั้นเองครับ แต่ตอนนี้ผมต้องสอบ IELTS คือผมต้องเริ่มเรียนอย่างจริงจังแล้วครับ ผมเลยเลือกมาเรียนที่นี่ครับ
(ลีด)ขอบคุณอาจารย์อ๊อฟ และน้องนันท์ที่ได้สละเวลามาให้ข้อมูลดีๆ กับเรา จากศูนย์ภาษาลีด



วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โปรโมชั่นต้อนรับวาเลนไทน์

มาอีกแล้ว สำหรับโปรโมชั่นต้อนรับวาเลนไทน์  พิเศษสุด ๆ สำหรับผู้ที่มาสมัครเรียนเป็นคู่  ไม่ว่าจะมาเป็นคู่ในรูปแบบไหน  จะคู่รัก  คู่เพื่อนซี้  ก็ได้รับส่วนลดค่าลงทะเบียนเรียนกันถ้วนหน้าจ้าาา  ^^


TOEIC รับรองผล


Up date !!

TOEIC เพิ่มรอบ 

1. วันเสาร์-อาทิตย์ 09.00-12.00 น. และ
2. วันจันทร์ , พุธ , ศุกร์ เวลา 17.00-20.00 น.

******************************************************************
โปรโมชั่นต้อนรับวาเลนไทน์ มาเป็นคู่รับส่วนลดสูงสุด 10 % 




สนใจติดต่อเข้ามาได้ที่ 
โทร.04-5956-137 , 08-6870-9900
facebook: https://www.facebook.com/Leadlanguagecentre


http://www.leadlanguagecentre.com
***************************************************************************************************
ติว toefl, toefl ติวอุบล,อุบลเรียน toefl ที่ไหนเรียน toefl ที่ไหนดี, toefl ที่ไหนดีเรียน toefl online อุบลสอน toefl อุบล, toefl เรียนเรียนtoefl, เรียนสอบ ielts อุบลเรียนภาษาอังกฤษ ielts, ติวสอบ ielts อุบลสถาบันสอน ielts, ติว ielts รับรองผล, ielts เรียนที่ไหนดีเรียน ieltsรับรองผลสถาบันสอนภาษาอังกฤษ toeic อุบลเรียนภาษาอังกฤษ สอบ toeic, เรียนเพื่อสอบ toeic, สถาบันสอน toeic, เรียน toeic ราคาถูก อุบล,สมัครเรียน toeic, คอร์สเรียน toeic เรียน toeic รับรองผล ,เรียนภาษาอังกฤษ toeic,เรียน ทำงาน ออสเตรเลีย, toeic เรียนเรียน toeic อุบลเรียนielts อุบลเรียน ielts idp, เรียน writing ielts, นิวซีแลนด์ เรียน ,TOEIC อุบล, FREE TOEIC , PRE-TEST TOEIC , practice test ,เรียนTOEIC ที่ไหนดี,ติว TOEIC ไหนดี,เรียน TOEIC ,สอน TOEFL , เรียน TOEFL , คอร์ส TOEFL , แนวข้อสอบ TOEFL ,เรียน ทำงาน อังกฤษ, เรียนต่อ, เรียนต่อ ต่างประเทศ, สนทนา ภาษาอังกฤษ, เตรียมสอบ อังกฤษ, เรียน CU-TEP ที่ไหนดี,ติว CU-TEP ไหนดี,เรียน CU-TEP, ภาษาอังกฤษ สำหรับเด็ก , เรียนภาษาอังกฤษเด็๋กๆ, เรียนสนุก , เรียนเข้าใจง่าย , เรียนภาษา , เด็กกับภาษา, ฝึกภาษา , เรียนสนุก, 


วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

คำย่อในภาษาอังกฤษที่ใช้ในโลกออนไลน์

              อย่างที่เรารู้ๆกันนะคะ  ว่าโลกปัจจุบัน   มีการแข่งขันต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย   การสื่อสารจะต้องรวดเร็ว  กระชับ  ได้ใจความตามไปด้วย  โลกออนไลน์ก็เช่นกัน  บางคนพิมพ์เร็วก็ดีไป   แต่บางคนพิมพ์ช้า ก็อาจไม่ทันคนอื่นได้  ตัวช่วยที่สำคัญ นั่นก็คือ  ตัวย่อ นั่นเองค่ะ  แต่ละภาษาก็จะมีตัวย่อในรูปแบบต่าง ๆ เป็นของตนเอง   แต่เราจะนำเสนอตัวย่อที่เป็นภาษาอังกฤษกันนะคะ  มาดูกันว่ามีคำไหนบ้าง  เคยใช้กันบ้างหรือยังเอ่ย ?



Cr. ตามภาพเลยจ้า

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

ภาษาอังกฤษในลักษณะแปลเป็นไทยหรือสำนวนแบบไทยๆ

เราอาจจะเคยได้ยินคนไทยใช้ภาษาอังกฤษในลักษณะแปลเป็นไทยหรือสำนวนแบบไทยๆ  ลองมาดูกันนะค่ะว่าคำไหนที่มักใช้ผิด แล้วที่ถูกต้องคืออะไร


การเรียกเก็บเงินค่าอาหาร
มักจะพูดว่า check bill
ที่ถูกต้องคือ check please หรือ bill please

การกล่าวคำทักทาย
เรามักเคยได้ยินคำว่า How are you going? ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า ฝรั่งถามว่าไปอย่างไร แต่ความหมายที่ถูกต้องคือ คุณสบายดีไหม ซึ่งมีความหมายเดียวกับคำว่า How are you? หรือคำว่า How are you doing?  ซึ่งคำว่า How are you going? เป็นสำนวนบริติชแต่คำว่า
How are you doing? เป็นสำนวนแบบอเมริกัน

 ถ้าต้องการพูดว่า "คุณจะไปไหน"
มักจะพูดว่า  Where you go?
ที่ถูกต้องคือ Where are you going? หรือ Where're you going?

ถ้าต้องการพูดว่า "เดี๋ยวโทรกลับนะ"
มักจะพูดว่า I will telephone you.
ที่ถูกต้องคือ I will call you later. หรือ I will phone you later.

การกล่าวคำขอโทษ
มักจะพูดว่า I sorry.
ที่ถูกต้องคือ I am sorry.

ถ้าต้องการพูดว่า "อย่าเครียด"
มักจะพูดว่า Don't serious.
ที่ถูกต้องคือ Don't be serious.

ถ้าต้องการพูดว่า "อย่ากังวลไปเลย"
มักจะพูดว่า Don't be worry.
ที่ถูกต้องคือ Don't worry.

ถ้าต้องการพูดว่า "ไม่มี"
มักจะพูดว่า No have.
ที่ถูกต้องคือ I don't have.

ถ้าต้องการพูดว่า "ฉันไม่ชอบ"
มักจะพูดว่า I no like.
ที่ถูกต้องคือ I don't like.

ถ้าต้องการให้บางคนฟังเราพูด
มักจะพูดว่า Please listen me.
ที่ถูกต้องคือ Please listen to me.

ถ้าต้องการพูดว่า "ฉันจะกลับบ้านแล้วนะ"
มักจะพูดว่า I want go home.
ที่ถูกต้องคือ I want to go home.


 ถ้าต้องการพูดว่า "เราสามารถพูดภาษาอังกฤษได้นะ"
มักจะพูดว่า I can to speak English.
ที่ถูกต้องคือ I can speak English.

ถ้าต้องการพูดว่า "ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะ....."
มักจะพูดว่า If I am you, I will....
ที่ถูกต้องคือ If I were you, I would ......

ถ้าต้องการพูดว่า "เขาหรือเธอมี....."
มักจะพูดว่า She have / He have
ที่ถูกต้องคือ She has / He has
เพราะว่าเขาหรือเธอเป็นบุรุษที่สาม กริยาต้องเป็น has

การกล่าวคำอวยพร
มักจะพูดว่า Good luck for you.
ที่ถูกต้องคือ Good luck to you.


ถ้าต้องการพูดว่า "เธอเป็นคนง่าย ๆ"
มักจะพูดว่า She is an easy woman.
ที่ถูกต้องคือ She is easy-going.

ถ้าต้องการพูดว่า "ฉันชงกาแฟ"
มักจะพูดว่า I mix coffee. หรือ I do coffee.
ที่ถูกต้องคือ I make coffee.

ถ้าต้องการพูดว่า "ฉันนอนอยู่บนเตียง"
มักจะพูดว่า I sleep on the bed.

ที่ถูกต้องคือ I sleep in the bed. เหตุผลที่ฝรั่งใช้คำนี้เพราะการจัดเตียงของฝรั่งนั้น เขาจะเอาผ้าห่มสอดไว้ในเตียง เวลานอนก็จะเอาตัวซุกเข้าไปในผ้าห่มค่ะ