Some / Any
ทั้ง some และ any มีความหมายว่า "บ้าง" แต่ใช้แตกต่างกันดังนี้ 1. some ใช้กับประโยคบอกเล่า ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้
เช่น
I have some pens. (ฉันพอจะมีปากกาบ้าง)
John wants some water. (John ต้องการน้ำบ้าง)
There are some books on the table. (มีปากกาอยู่บนโต๊ะบ้าง)
There is some sugar in the bowl. (มีน้ำตาลทรายอยู่ในชามบ้าง)
2. any ใช้กับ
2.1 ประโยคปฏิเสธ ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ แต่ความหมายจะเปลี่ยนเป็น
"ไม่ ______ เลย" เช่น
I don't have any pens. (ฉันไม่มีปากกาเลยสักด้าม)
John doesn't want any water. (John ไม่ต้องการน้ำเลย)
There aren't any pencils under the table. (ไม่มีดินสออยู่ใต้โต๊ะเลยสักแท่ง)
There isn't any tea in the cup. (ไม่มีน้ำชาอยู่ในถ้วยเลย)
2.2 ประโยคคำถาม ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ แต่ความหมายจะเปลี่ยนเป็น
"_______ บ้างไหม" เช่น
Do you have any pens? (คุณมีปากกาบ้างไหม)
Does John want any water? (John ต้องการน้ำบ้างไหม)
Are there any books in the schoolbag? (มีหนังสืออยู่ในกระเป๋าเรียนบ้างไหม)
Is there any coffee in the cup? (มีกาแฟอยู่ในถ้วยบ้างไหม)
Alright / All right
alright vs. all right
มีความหมายเหมือนกันคือ "ทุกอย่างโอเค ?"
Is everything alright?
Is everything all right?
all right (adj./adv.)
➡เป็น formal form ขอแปลง่ายๆว่า "OK" (อะไรๆที่มัน all right ก็คือมัน OK นั่นล่ะนะ)
Is the coffee all right?
Do you feel all right?
Your work is all right but I'm sure you could do better.
Are you sure it's all right for me to leave early?
----------------------------
alright (adv.)
มีความหมายเหมือน all right เป๊ะ เป๊ะ
แต่ alright ยังไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับเจ้าของภาษาบางกลุ่ม ว่าเป็นคำที่ถูกต้อง
หากเราใช้สองประโยคนี้ในการสนทนา ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะว่าออกเสียงเหมือนกันทั้งคู่
ดังนั้นหากจะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเราควรใช้ "all right" ในการเขียนที่เป็นทางการ (formal writing) แทนที่เราจะใช้ alright นะคะ
คำนี้เป็นคำที่ใช้กันมากเหลือเกิน เราจพเห็นได้จากหลายประโยคนะคะ เช่น
Just a minute และ
Just one year ago
ทำไมเราจะใช้ได้ถูกล่ะ มีกฎเกณฑ์อะไรบ้าง
just มีความหมายผิดแผกแตกแยกออกไปมากมายพอใช้
ในบางกรณีหมายความทำนองเดียวกับ only ก็ได้ เช่น
"Just one year ago." แปลได้ว่า
"เพียงปีเดียวที่ผ่านมา" หรือ
"เพิ่งปีที่แล้วเท่านั้น"
หรือดูตัวอย่างต่อไปนี้ก็ได้
She is just five years of age.
ความหมายเท่ากับ
She is only five years of age.
"เธอเพิ่งจะมีอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น"
ในบางกรณีถ้าเกี่ยวเนื่องกับกาลเวลา
just หมายถึง exactly หรือ precisely หรือ "พอดิบพอดี" "ตรงเผง" เช่น
The car arrived just at ten o'clock.
"รถมาถึงเมื่อ 10 น. พอดิบพอดี"
"รถมาถึงเมื่อ 10 น. ตรงเวลาเผง"
ในกรณีที่มีประโยคทำนองนี้
คุณจะใช้คำ exactly หรือ precisely แทน just ก็ได้
แต่ข้อสำคัญอันหนึ่งซึ่งควรระวังไว้
อย่าพูดหรือเขียนคำว่า just exactly ออกมาเป็นอันขาด
เพราะ just ก็เท่ากับ exactly อยู่แล้ว
อีกข้อหนึ่งซึ่งพึงจดจำไว้ก็คือ อย่าใช้ just ในกรณีที่หมายถึง quite เช่น
Dang is not just good enough in this game.
"แดงยังไม่ดีพอที่จะเล่นในเกมกีฬานี้"
ที่ถูกควรจะพูดดังนี้
Dang is not quite good enough in this game.
just บางทีเป็นคุณศีพท์ แปลว่า "เที่ยงตรง" "ยุติธรรม" ก็ได้ครับคุณ
เช่น ในประโยคต่อไปนี้
He is a just man.
"เขาเป็นคนเที่ยงธรรม"
กฎง่ายๆ 5 ข้อ พูดอังกฤษคล่องเหมือนเจ้าของภาษา การพูดภาษาอังกฤษได้คล่องเหมือนเจ้าของภาษาถือเป็นความปรารถนาของใครหลายๆ คน แต่คนส่วนใหญ่ที่เรียนภาษาอังกฤษมาหลายปีกลับไม่มีความมั่นใจเวลาที่ต้องสื่อสารกับชาวต่างชาติ เรียนด้วยใจตามกฎ 5 ข้อต่อไปนี้จะทำให้คุณเก่งอังกฤษมากขึ้น
1, ลืมแกรมม่าร์บ้างก็ได้
การเรียนแต่แกรมม่าร์จะทำให้ทักษะการตอบโต้ของคุณด้อยลง เพราะคุณคิดเกี่ยวกับกฎแกรมม่าร์มากเกินไป คุณจึงพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นธรรมชาติเหมือนเจ้าของภาษา และคนฟังอาจจะไม่มีความอดทนมากพอที่จะรอให้คุณกลั่นกรองแต่ละประโยคออกมา จำไว้ว่ามีเจ้าของภาษาเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่รู้กฎแกรมม่าร์มากกว่า 20%
2, เรียนเป็นวลี
คนเรียนภาษาอังกฤษส่วนใหญ่มักจะเรียนศัพท์ทีละคำตามใจชอบทุกๆ วัน และลองสร้างประโยคขึ้นมาจากศัพท์พวกนั้น โดยไม่กลัวว่าจะเป็นประโยคที่ไม่มีความหมาย แม้บางครั้งประโยคที่สร้างขึ้นมาเองนั้นจะฟังดูตลก
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้เรียนถึงไม่เน้นเรื่องการเรียนเป็นวลี แม้จะรู้คำศัพท์มากมายนับพันคำ แต่ก็ไม่สามารถที่จะสร้างประโยคที่ถูกต้องได้ แต่ถ้าคุณรู้จักวลีที่ถูกต้อง คุณจะพูดได้มากถึง 100 ประโยค และถ้าคุณรู้จักวลี 100 วลี คุณจะต้องแปลกใจความสามารถของตัวเองแน่นอน สุดท้ายนี้เมื่อใดก็ตาามที่คุณเรียนวลีได้มากกว่า 1000 เมื่อนั้นคุณจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องเลยล่ะ
ดังนั้น อย่าพยายามอย่างเสียเปล่าไปกับการเรียนศัพท์เป็นคำๆ แทนที่จะเรียนเป็นวลี แล้วคุณจะพูดอังกฤษได้คล่องขึ้นอย่างแน่นอน
3, แวดล้อมไปด้วยภาษาอังกฤษ
คุณควรสร้างสภาพแวดล้อมที่มีแต่ภาษาอังกฤษด้วยตัวคุณเอง เพื่อเป็นแรงจูงใจในการเรียนพูดและฟัง การไปในที่ๆ มีแต่ชาวต่างชาติถือเป็นอีกวิธีหนึ่ง และยังสามารถชมภาพยนตร์หรือเกมส์โชว์ภาษาอังกฤษเพื่อให้คุ้นเคยกับระดับเสียงและเรียนศัพท์ไปด้วย สิ่งสำคัญคือพยายามพูดในสิ่งที่ได้ยิน ทางที่ดีที่สุดที่จะพูดได้ดีคือพูดออกมาดังๆ อย่างมั่นใจเหมือนว่าคุณเองเป็นนักแสดงในภาพยนตร์ ทำแบบนี้ทีละนิด ในที่สุดคุณก็จะเลิกกลัวภาษาอังกฤษไปเอง
4, ใช้สื่อที่เหมาะสม
ผู้เรียนหลายคนตั้งเป้าหมายในการพูดภาษาอังกฤษไว้ แต่กลับไปฟังข่าวการเมืองหรือข่าวเศรษฐกิจ นั่นถือว่าไม่ตรงประเด็น เพราะคุณอาจจะสับสนกับคำศัพท์ที่ไม่ค่อยมีในชีวิตประจำวันได้
5, ฝึกการฟัง – พูดทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา
นี่เป็นกฎข้อสุดท้ายแต่สำคัญมากที่สุด คุณควรจะใช้เวลาให้มากในการฝึกฝน
ลองเรียนหลักสูตร E-learning ที่เป็นที่นิยมทั่วโลกดูสิ แตกต่างจากหลักสูตรที่เรียนแบบด้านเดียว เพราะมีเวลาเรียนมากถึง 16 ชั่วโมงต่อวัน จาก 8 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน อาจารย์เจ้าของภาษากว่า 200 ท่านจากยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย ทำการสอนด้วยคลาสออนไลน์ที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี นักเรียนเกิดความคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่หลากหลาย บทเรียนเกี่ยวกับบทสนทนาในชีวิตประจำวันทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพสูง